วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

คำอุทานย่อภาษาอังกฤษบนอินเตอร์เน็ต


เดือนภาษาอังกฤษ มีทั้งหมด 12 เดือน  มาเริ่มกันเลย


เดือน Month


มกราคม January (แจน ยัวรี)

กุมภาพันธ์ February (เฟบ บรัวรี)

มีนาคม March (มาร์ช)

เมษายน April (เอ พริล)

พฤษภาคม May (เมย์)

มิถุนายน June (จูน)

กรกฎาคม July (จูไล)

สิงหาคม August (ออ กัสทฺ)

กันยายน September (เซพเทม เบอะ)

ตุลาคม October (ออคโทเบอะ)

พฤศจิกายน November (โนเวมเบอะ)

ธันวาคม December (ดีเซม เบอะ)


เดือนภาษาอังกฤษแบบย่อ


1. January – Jan.

2 . February – Feb.

3. March – Mar.

4. April – Apr.

5. May – May

6. June – Jun.

7. July – Jul.

8. August – Aug.

9. September – Sep. or Sept.

10. October – Oct.

11. November – Nov.

12. December – Dec.


แต่งประโยคกับเดือนภาษาอังกฤษ


January = มกราคม


We celebrate new year on First of January.


พวกเราฉลองปีใหม่วันที่ 1 ของเดือนมกราคม

February = กุมภาพันธ์


February 14th is Valentine’s Day.


วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรัก


มาดูตัวอย่างเดี่ยวกับวัน valentine อีกประโยคนะคะ


I wants chocolates for Valentine’s Day.


ฉันอยากได้ช็อกโกแลตในวันแห่งความรัก

March = มีนาคม


March 16 is my birthday.


วันที่ 16 มีนาคมเป็นวันเกิดของฉัน



April = เมษายน


Songkran is always in April.


สงกรานต์มีทุกเดือนเมษายน


MAY = พฤษภาคม


We go back to school in the beginning of May.


เราเปิดเทอมต้นเดือนพฤษภาคม


JUNE = มิถุนายน


There are no holidats in June.


เดือนมิถุนายนไม่มีวันหยุด


July = กรกฎาคม


Yes. There are thirty-one days in July.


ใช่ เดือนกรกฎาคมมี 31 วัน


August = สิงหาคม


The twelfth of August is mother’s day


วันที่ 12 สิงหาคมป็นวันแม่แห่งชาติ


September = กันยายน


The is a lot of rain in September.


เดือนกันยายนฝนตกหนักมาก


October = ตุลาคม


The twenty-third of October is a holiday.


วันที่ 23 ตุลาคมเป็นวันหยุด


November = พฤศจิกายน


We celebrate Loy-krathong in November.


เราจัดงานลอยกระทงในเดือนพฤศจิกายน



December = ธันวาคม


The 5th of Desember is Father’s day.


วันที่ 5 ธันวาคมเป็นวันพ่อ แห่งชาติ





คำอุทานภาษาอังกฤษน่ารู้


คำอุทานภาษาอังกฤษน่ารู้


Oh ...god , Oh my god basic 

Oh dear , ผู้หญิงชอบใช้

Oh Sh i t , โอ้ ไอ้ชิต ?? 

Oops , อันนี้คนไทยบางคนก็พูด 

Holy Cow! (ไม่แนะนำให้ใช้ Holy Sh-t) แม่เจ้าโว้ย

(Oh) My goodness! คุณพระคุณเจ้า


Jeeeeeeeesus Christ! คำสบถ - ไม่แนะนำให้ใช้ ค่อนข้างหยาบคาย แต่ถ้าอยากใช้ ต้องใส่อารมณ์ 

What the ... heck ... หยาบมาก
Ahhh ,,, hell no... หยาบนิด

Gosh ! ... ธรรมดา
Oh really ธรรมดา
oh my word ธรรมดา


Yikes! แบบตกใจ หรือพลิกความคาดหมาย

Shoot! แทน +++ S h i t จะดีกว่า


Holy SchiNike - เหมือนแม่เจ้าโว้ย
Sweet! - เยี่ยม
That's Tight -เยี่ยม

Holy Smoke - เหมือนแม่เจ้าโว้ย
Son of a gun - คำหยาบนิดนิด

stupido ! (What an idiot!)
Lovely ( How nice) 

what a jerk! เเม่งไรวะ
what the hell was that? อะไรว่ะนั่นนะ 
aweful น่ากลัวจริง ๆ 
pain in the ass สบถ

who am i?
To hell+ someone! ช่างมันเถาะ 

Good Job!! ดีเเล้ว


bloody hell คนอังกฤษใช้ = oh my god
splendid!
TWAT! หยาบมากๆ 


You are rock.
It's a bomb.
Good Lordddd.
Damn it. 
Crikey!!!!

ไม่เห็นด้วย 

Get outta here!
No way! 
Forget it!
Are you kidding?
Don't make me laugh!
Oh, come off it!
Are you serious?
That's a laugh.
Get real!
Not a chance.
Not likely.
Oh! come on. 
blah blah blah พูดเวลาคนอื่นพูดมั่วหรือไม่รู้เรื่อง

Wicked! เจ๋งไปเลย 
bollocks ใช้เวลาทำอะไรผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ 


LOVELY ... นึกคำชมอะไรไม่ออก ก็ Lovely ไว้ก่อนเลย

I am such an idoit ไม่ได้ด่าตัวเองนะ แต่ประมาณว่า ชั้นทำอะไรโง่ ๆ ลงไปเนี่ย 

dammit อันนี้ได้ยินบ่อย เหมือนกัน เวลา ผิดหวัง รำคาญ 

oh lah lah 

dog gone it!
holy crap!

Yuck!!! (พร้อมทำหน้าหยะแหยง) 

Fabulous !! Gorgeous !!
สวยเริ่ด อะไรยังเงี้ย

goody goody!
groovy groovy! 

wazzup 


ตกใจ หรือตื่นเต้น Gosh!! Shoot! Poop!! Holy Cow! Dang! Damn!

ชม 

Way to go, You rock, Phenomenal, great, cool.
So damn cool

Don't you dare! อย่ามาท้าฉันนะ หรือ กล้าเหรอ ฮ้า (ลากเสียงเล็กน้อย )

That's unbelievable! 
Shuttt up (ช๊าดดด อัพ)


Goddammit!
freaking เช่น it's freaking hot! สุภาพกว่า f***ing Whateva, man!
Bugger! อันนี้ใช้อุทาน ฟังแล้วแก่ดี เฮอะๆ

โอ้ พระเจ้า จอร์จ มันยอดมาก

แสดดดดดดด หรือ สาดดดดดดด
หมายเหตุ : กรุณาอ่านออกเสียงให้เป็นพยัญชนะภาษาอังกฤษ แล้วนำมาเขียนปะติดปะต่อกัน เพราะกลัวโดนเซ็นเซอร์

Bull เอส เอช ไอ ที

เอส ยู ซี เค

เอฟ ยู ซี เค << อันนี้หยาบมากกกกก

เอส เอช ไอ ที << อันนี้ประมาณว่า "เวรเอ๊ย!" หรืออาจเป็นคำสบถอื่นๆ

เอ เอส เอส เอช โอ แอล อี << แปลตรงๆเลยคือ รู ก้ น -*-

Bloody Oath << แปลว่า "ใช่ดิฟระ แ ม ร่ ง

พี ยู เอส เอส วาย << อันนี้ เอ่อ...อวัยวะเพศหญิงอ่ะ - -"
asshol e
บี เอ เอส อี แปลว่าบัดซบ

บี โอ เอ็น อี เอช อี เอ ดี แปลว่างี่เง่า

s h u t the  X  up แปลว่าหุบปากไปเลย

mother  X  er หยาบมากๆ

จำได้แค่นี้อ่ะค่ะ S L U T  แปลว่า ผุ้หยิงไม่ดี go  X  your mother




การกล่าวขอโทษและการแสดงความเสียใจ


--การกล่าวขอโทษ --

-Arthur, Do you think we should have a dinner some other day?
" อาร์เธอร์ คุณคิดว่า เราควรจะไปดินเนอร์กันวันอื่นดีไหมค่ะ "
-You're kidding!
" คุณล้อเล่นหรือเปล่า "
-I'm sorry. I know that's too bad.
" ฉันขอโทษค่ะ ฉันรู้ว่ามันแย่จังเลย "
-If you tired, take a nap.
" ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อย ก็พักก่อนเถอะครับ "
-Thank you.
" ขอบคุณค่ะ "
--การแสดงความเสียใจ --

-Peter, I heard that somebody beat up your good friend.
" ปีเตอร์ ฉันได้ยินมาว่ามีคนมาทำร้ายเพื่อนสนิทของเธอเหรอค่ะ "
-Yes, now Johnny's in the hospital.
" ใช่ครับ และตอนนี้จอห์นนี่ก็อยู่ที่โรงพยาบาลด้วย "
-I'm sorry about that.
" ฉันเสียใจด้วยนะ "
-Let's go see him now !
" เราไปเยี่ยมด้วยกันเถอะ "





การกล่าวทักทายอย่างไม่เป็นทางการและเป็นทางการ


--การกล่าวทักทายอย่างไม่เป็นทางการ --

- Long time no seen Steven. Everything's is fine!
" ไม่ได้ พบกันนานเลยนะค่ะคุณสตีเว่น ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมค่ะ "
- So far so good.
" ตอนนี้ก็ยังเรียบร้อยครับ "
- Call me sometime. O.k.
" โทรหาฉันนะค่ะ "
- l will Linda
" ผมจะโทรไป ลินดา "
คำแนะนำ
วลีที่ใช้ทักทายอย่างไม่เป็นทางการ เช่น
- What's new?
" มีเรื่องอะไรใหม่ๆ ไหมจ๊ะ "
- Nothing special.
" ไม่มีเรื่องอะไรพิเศษ "

--การกล่าวทักทายอย่างเป็นทางการ --

- Hello! David
" สวัสดี เดวิด "
- Hello! Jen
" สวัสดี เจน "
- How are you?
" สบายดีไหมค่ะ "
- Fine Thanks, and you?
" สบายดีครับแล้วคุณล่ะ "
- I'm fine. Thank you
" ฉันสบายดีค่ะขอบคุณ "





วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

Verb to do


Verb to do

Do  และ  Does  มีหลักการใช้คือ  ถ้าเป็นกริยาสำคัญหรือกริยาแท้ในประโยคจะมีความหมายว่า  ทำ   
        ต้องแยกใช้ไปตามประธานของประโยคให้ถูก  เช่น
                           He  does  his  homework.
                          They  do  their  homework.
เป็นกริยาช่วยในประโยคคำถามและปฏิเสธที่มีกริยาแท้อยู่แล้วในประโยค และประโยคนั้นไม่มี Verb to be
     (  is   am  are  ) .ในบริบทของประโยคเช่นนี้  do , does จะไม่มีความหมาย  เป็นเพียงตัวช่วย  เช่น
            He  does  not   have  any  sisters.
            We  do   not  buy  a  big  car.
       Remark : Verb  to  be  ไม่อยู่  เอา  Verb  to  do  เข้ามาช่วย
                        do  not  ใช้รูปย่อเป็น    don’t  / does  not    ใช้รูปย่อเป็น    doesn’t
                        
                 แยกใช้ไปตามประธานของประโยคดังนี้
            1.  ประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่  3  (  He , She , It  ชื่อคนคนเดียว สัตว์ตัวเดียว และสิ่งของอันเดียว
                 ที่ถูกกล่าวถึง ) ใช้ Does.
            2.  ประธานเป็นไม่ใช่เอกพจ  น์บุรุษที่  3  (  I , You  , We , They   ชื่อคนหลายคน  สัตว์หลายตัว 
                  สิ่งของหลายอย่างที่ถูกกล่าวถึง ) ใช้  Do

แยกใช้ตามตารางต่อไปนี้
I




do




it
You
We
They
Dang  and Dum
The  cats
Three  balls
He



does



it
She
It
Sam
A  dog
A man


การใช้  Verb  to  do  ในประโยคปฏิเสธ
มีหลักการดังนี้
            1.  Verb to  do  เป็นเพียงกริยาช่วย  ( Helping  Verb ) ไม่ใช่กริยาแท้
            2.  กริยาแท้ของประโยคต้องใช้รูปเดิม  ( Base  form ) จะไม่มีการเติมหรือเปลี่ยนไปเป็นช่องใดทั้งสิ้น นะครับ
            ประโยคบอกเล่า          He  likes  cartoon.
            ประโยคปฏิเสธ            He  doesn’t  like  cartoon.
            ประโยคบอกเล่า          They  play  football.
            ประโยคปฏิเสธ            They  don’t  play  football.
 
การใช้  Verb  to  do  ในประโยคคำถาม  มีดังนี้
             1.  Yes / No  Questions
            1.  ใช้  Verb  to  do  วางหน้าประโยค  ตามด้วยประธานของประโยคและกริยาแท้ของประโยควางเรียง
         ต่อมา  ตัวอย่างเช่น
กริยาแท้ใช้  Base  form  ( รูปเดิมที่ไม่ต้องเติมหรือผัน )
            ประโยคบอกเล่า          He  likes  cartoon.
            ประโยคคำถาม            Does  he  like  cartoon ?
            ประโยคบอกเล่า          They  play  football.
            ประโยคคำถาม            Do  they  play  football. ?
            2.  Wh. Questions
1.  ใช้  Verb  to  do  วางข้างหลัง Wh. และหน้าประธานของประโยค  ตามด้วย 
      กริยาแท้ของประโยควางเรียงต่อมา  ตัวอย่างเช่น
            ประโยคคำถาม            What  does   he  want  ?
            ประโยคคำตอบ           He  wants  a  pen.
            ประโยคคำถาม            When  do  you  have  lunch ?
            ประโยคคำตอบ           I  have  lunch  at  12.00.




ส่วนต่างๆ ของร่างกาย


ส่วนต่างๆ ของร่างกาย





1. head = ศีรษะ                                16. elbow = ข้อศอก
2. hair = ผม                                     17. hand = มือ
3. forehead = หน้าผาก                   18. thumb = นิ้วหัวแม่โป้ง 
4. face = ใบหน้า                              19. index finger = นิ้วชี้ 
5. eyebrow = คิ้ว                              20. middle finger = นิ้วกลาง 
6. eye = ตา                                       21. third finger = นิ้วนาง
7. nose = จมูก                                   22. little finger = นิ้วก้อย
8. mouth = ปาก                               23. breast  = หน้าอก 
9. cheek  = แก้ม                               24. waist  = เอว
10. chin = คาง                                 25. hip = สะโพก
11. ear = หู                                        26. leg = ขา
12. lobule = ติ่งหู                             27. knee = เข่า 
13. neck = คอ                                  28. foot  = เท้า
14. shoulder = ไหล่                        29. ankle = ข้อเท้า 
15. arm = แขน                                 30. toe = นิ้วเท้า 







Parts of Speech


Parts of Speech คือ ชนิดของคำ

Parts of Speech มีอะไรบ้าง ง่ายๆ จำไว้แค่ว่า มี 8 อย่างเท่านั้นเอง มี

1. Noun คำนาม
2. Pronoun คำสรรพนาม
3. Verb กริยา
4. Adverb กริยาวิเศษณ์
5. Adjective คำคุณศัพท์
6. Preposition บุพบท
7. Conjunction คำสันธาน
8. Interjection คำอุทาน

มารู้จักกับพวกเขาทีละตัวกันเลยดีกว่า

1. Noun คือ คำที่ใช้เรียกแทน ชื่อ คน สัตย์ สิ่งของ (จำไว้แค่นี้ค่ะง่ายไหม)
คำนามมี นามทั่วไป กับ นามเฉพาะ (อันนี้ไม่พูดมากเพราะหลายคนรู้แล้ว)
ตำแหน่งและหน้าที่: เป็นได้ทั้งประธานและกรรม ในประโยค

โอ้ น้อยจริงๆ นอกนั้น อยู่ที่ผู้อ่านแล้วหล่ะค่ะ

2. Pronoun คือ คำที่ใช้เรียกแทน Noun หรือ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ
ยกตัวอย่าง เวลาเราเรียกหรือเอ่ยคำใดคำหนึ่งบ่อยๆ บ่อยมากๆ บ่อยเกินไป ถามหน่อยว่า เราเบื่อไหมคะ
ถ้าพูดถึง Grammarman สิบครั้ง เราจะพูดคำว่า Grammarman ถึงสิบครั้งรึเปล่าคะ
ถ้าเป็นฝรั่งแล้ว คนไทยก็เช่นกันค่ะ จะหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำโดยการใช้คำ สรรพนาม แทน
คือ ครั้งแรก เรียก Grammarman และครั้งต่อๆไปจึงเรียก เขา หรือ เธอ เพื่อไม่ให้ดูน่าเบื่อค่ะ

3. Verb ก็คือกริยานั่นเอง ไม่พูดมากอีกแล้ว ง่ายนิดเดียว มี verb แท้ และ verb ไม่แท้
มีวิธีสังเกตุง่ายๆ
verb แท้ จะผันตามประธานและ tense ค่ะ แห่ะๆๆ รวมถึง helping verb ทั้ง 24 ตัวด้วยนะคะ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 กริยาจะผันตามประธานคือ เติม s หรือ es ไง หลายคนคงคุ้นๆ
เอ๊ะๆ มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เอกพจน์บุรุษที่ 3 เป็นเยี่ยงใด
ก่อนอื่นเลย บุรุษที่ 1 ก็คือ ตัวผู้ผูดเอง มีแค่ I กับ we
                 บุรษที่ 2 คือ คนที่เราพูดด้วย คือ you
                 บุรุษที่ 3 คือ คนที่เราพูดถึง หรือที่เรามักคุ้นเคยกับคำว่า บุคคลที่สามนั่นเอง มีคำว่า they he she it
แล้วเอกพจน์บุรษที่สาม มีคำไหนบ้างเอ่ย ติ๊กต่อกๆๆ เฉลย
คือคำว่า he she it ค่ะ ที่เป็นเอกพจน์แล้วก็อยู่ในบุรุษที่ 3 ด้วย ส่วน they เป็นพหูพจน์ค่ะ
ยังไม่หมดๆ เอกพจน์บุรุษย์ที่ 3 ยังรวมถึง ชื่อคน สัตว์ สิ่งของ ที่มีสิ่งเดียวอันเดีียวด้วยนะคะ

มาดูตัวอย่างการผันของกริยาตามประธานกันเล๊ย

Marry loves playing sports. แมรี่ชอบเล่นกีฬา

สังเกตุว่าประโยคนี้ loves เติม s ค่ะ แสดงว่า ประโยคนี้ กริยาแท้จะต้องเป็น loves แน่ๆเลยเนอะ ใช่แล้ว ถูกต้องที่สุด เย้ๆ เรามาได้ไกลแล้วค่ะ อิอิ

ถ้าผันตาม tense หล่ะ

He has never told me before that he is a gay. เขาไม่เคยบอกฉันมาก่อนว่าเขาเป็นเกย์ - -''

*** 
สังเกตุช่วยกันค่ะว่าประโยคนี้ กริยาตัวไหนที่ผันตาม tense แต่นแตนแต๊น ก็มีตัวเดียวเท่านั้นค่ะ คือ คำว่า told ไง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นpresent perfect tense คือ เขาไม่เคยบอกตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันก็ไม่บอก และมีแนวโน้มว่าเขาจะไม่บอกในอนาคต

และกริยาไม่แท้ที่เหลือ พวกเขารอคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักด้วยนะคะ พวกเขาเหล่านั้นคือ present participle และ past participle

modal verb คืออะไรหว่า ก็พวก can, could, may, might, will, would, shall, should ,ought to,  be boing to, etc. ไงคะ เยอะแยะมากมาย มี 24 ตัวค่า ถ้าจะพามาทำความรู้จักกันใหม่ทั้งหมด มันจะเสียเวลาค่ะ ไปต่อกันดีกว่า

present participle คืออะไรหว่า ก็ กริยาที่ เติม ing ไงคะ แต่พวกนี้ไม่ใช่ gerund และก็จะแปลต่างจาก present continuous tense ด้วยนะ หลายคนมักสับสนมากเลย จะทำยังไงดีถึงจะไม่สับสนหว่า อ้อๆ Grammarman เคยเขียนไว้นี่นา กลับไปทำความรู้จักกับ present participle ว่า แตกต่างจาก gerund ยังไง คลิกเลย>> Gerund & Present Participle ใช้เพื่อขยายคำที่อยู่ข้างหน้ามัน หมายถึง คำที่ถูกขยายกระทำกริยาเอง

Past participle คืออะไรหว่า ก็ กริยาที่เติม ed หรือ verb ช่อง 3 ไง ใช้เพื่อขยายคำที่อยู่ข้างหน้ามัน หมายถึง คำที่ถูกขยายถูกกระทำ

ตัวอย่างระหว่าง present participle กับ past participle

A man standing next to the door is my boyfriend. ผู้ชายที่ยืนอยู่ใกล้ประตูเป็นแฟนฉันเอง

That dog kicked by you is mine. หมาตัวที่เธอเตะนั่นน่ะเป็นของฉัน

เรามาขยายความกันอีกนิด
A man standing next to the door is my boyfriend. ประโยคนี้ สังเกตุมั๊ยคะว่า มีกริยาอยู่กี่ตัว ตัวแรกเลย standing และอีกตัวคือ is
โห้ กริยาสองตัว เป็นไปได้ไง แล้วตัวไหนกริยาแท้หล่ะเนี่ย ง๊งงง - -'' เรามาใช้ความรู้ที่เราเรียนมากันเถอะ

ขั้นแรก มองหาก่อนเลย กริยาไหนที่ผันตามประธานและ tense นั่นแหล่ะ กริยาแท้ อยู่ไหนน๊า อ้า เจอแล้ว is ไง บ่งบอกว่าประธานเป็นเอกพจน์

นั่นแน่ ความรู้เริ่มมาค่ะ วิทยายุทธ์เริ่มหาญกล้า พอเรารู้ว่าตัวไหนเป็นกริยาแท้ นอกกนั้น ชิวๆๆ อิอิ แล้วคำว่า standing หล่ะ คืออะไร มันก็คือ present participle เอาไว้ขยายคำที่อยู่ข้างหน้ามัน คือคำว่า man
สรุปแล้ว standing ขยายคำว่า man หมายถึง man กระทำกริยายืนเองค่ะ ไม่มีใครยืนให้ เพราะ man ก็มีขา อิอิ

เอ้า ประโยคต่อไปกันเล๊ยยยยยยย
That dog kicked by you is mine. ประโยคนี้ กริยาแท้คืออะไรเอ่ย แน่นอน ไม่ต้องคิดให้เสียระบบก่อนย่อย ต้องเป็น is อยู่แล้ว บ่งบอกว่า ประธานเป็นเอกพจน์ คือ หมามีตัวเดียว
แล้วคำว่า kicked หล่ะ (kicked ก็เป็น past participle ไง )เอาไว้ขยายคำที่อยู่ข้างหน้ามัน
แสดงว่า dog เนี่่ย ถูกเตะ  (dog ถูกกระทำ ไม่ได้กระทำเอง dog เตะคนไม่ได้ แต่คนเตะ dog ได้) พอเข้าใจกันหรือยังคะ อยากถูก dog เตะเหมือนกันนะ จะได้เตะมันกลับ อุ้ย รุนแรงๆๆ

เมื่อเราพอรู้จัก verb กันคร่าวๆ ยังไม่ถึงกึ๋นเลย แต่ถ้ารู้แค่นี้ก็เทพขิงๆแล้ว เรามาทำความรู้จักกับ adverb ต่อกันเถอะ

4. Adverb คือ คำที่ขยาย กริยา
อ่ะๆ ยังไม่พูดถึง adverb ดีกว่า เรามาทำความรู้จักกับ adjective กันก่อนดีกว่า เอาแค่นี้เรียกน้ำย่อยกันไปก่อน


5. Adjective คือ คำที่ขยายคำนามหรือสรรพยาม ตำแหน่งมีแค่ 2 ที่ เน้นๆ อยู่หลัง v.to be และ อยู่หน้าคำนามที่้มันขยายเสมอ

ตำแหน่งที่ 1 อยู่หลัง v. to be
เช่น I am beautiful. ฉันสวย (ประโยคนี้ adjective อยู่หลัง am ซึ่งเป็น v. to be ถูกไหม และหน้าที่ของมันก็คือขยายคำนามหรือสรรพนามนั่นแหล่ะ ก็ขยายคำว่า I ไง หมายถึง I สวย ฮิฮิ)

ตำแหน่งที่ 2 อยู่หน้าคำนามที่มัันขยายค่ะ
เช่น pretty girl เด็กหญิงผู้น่ารัก (pretty เป็นคำ adjective แปลว่า น่ารัก ขยายคำว่า เด็กผู้หญิง ให้ได้ใจความชัดเจนยิ่งขึ้นค่ะ สังเกตุไหมคะว่า อยู่หน้าคำนาม)

แต่เดี๋ยวก่อน อย่าละเลิงใจไป โปรดจำไว้ว่า adjective ขยายนามที่อยู่ข้างหลัง
ส่วน adjective clause ขยายนามที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งจะอยู่ในเรื่องของประโยคความซ้อนค่ะ แต่วันนี้เราจะไม่พูดถึงประโยคความซ้อนกัน เดี๋ยวไม่จบ

อาฮ่าๆ เมื่อเรารู้จักหน้าที่และตำแหน่งของ adjective ไปเรียบร้อยแล้ว ขาดไม่ได้เลย เราต้องรู้จักการเรียงตำแหน่งของ adjective ด้วย

ในกรณีที่เราจะใช้ adjective หลายๆตัว ขยายคำนามพร้อมกัน อยากทราบไหมคะว่าจะนำคำไหนมาเรียงก่อนกัน ติ๊กต่อกๆๆ

ให้เรียงอย่างงี้เลย

opinion size age shape colour origin material N1 N2 (ท่องแปดลำดับนี้ให้ได้นะคะ ท่องเป็นภาษาอังกฤษนะ)

ความคิดเห็น ขนาด อายุ รูปร่าง สี ต้นกำเนิด วัสดุที่ทำ นาม1 นาม2

tip
size รวมถึง lenght ที่เป็นความยาวด้วยนะคะ
shape รวมถึง width ที่เป็นความกว้าง